ไทย Eng
 


พูดคุยกับคุณวิชัย พูลวรลักษณ์

ประธาน บริษัท วรลักษณ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด


ต้องบอกว่าเราเป็นครอบครัวคนจีน ถูกสอนให้ทำธุรกิจตั้งแต่เด็กๆ โดยไม่รู้ตัว สอนให้เราประหยัดแบบไม่รู้ตัว โดยมีต้นแบบคือปู่ย่าตาทวด มาจนถึงคุณพ่อคุณแม่ จนมาถึงเรา วันนี้ก็ต้องเรียนรู้ว่าครูทุกท่านมีผลต่อการคิด การดำเนินชีวิตของเรา ซึ่งครูคนแรกก็คือคุณแม่ พ่อ จนกระทั่งครูที่โรงเรียน ไล่มาจนถึง อ.หลุย จนถึงคนที่ทำงานร่วมกับเราไม่ว่าจะเป็นคู่ค้า หรือเพื่อนทางธุรกิจ หรือลูกน้องเราก็นับเป็นครูได้หมด ดังนั้นการผสมผสานความรู้และประสบการณ์นับว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนมองว่ามันเป็นหลัก หรือข้อคิด หรือแนวคิดในการดำเนินชีวิตยังไง ซึ่งเราถูกปลูกฝังมาด้วยวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม จนมีเราในวันนี้ เรียกว่าสร้างเนื้อสร้างตัวจากเงินเดือนแรกในชีวิต 3,000 บาท เริ่มจากการทำงานเป็นพนักงาน ไล่ขึ้นมาจนมาเปิดกิจการของตัวเองจนวันนี้มีธุรกิจหลายพันล้านขึ้นมาก็เพราะเรามีเค้าโครงความคิดมาจากพ่อแม่ที่วางรากฐานแบบคนจีน คือต้องอดทน ขยัน ซื่อสัตย์ มีคุณธรรมจริยธรรม


ครอบครัวเราทำธุรกิจโรงภาพยนตร์ ก่อนทำโรงภาพยนตร์ก็ทำธุรกิจด้านการบริการคือร้านกาแฟ ซึ่งถ้าคุณพ่อไม่เลิกขายกาแฟ ทุกวันนี้คงไม่มีสตาร์บัคส์ เพราะตอนนั้นขายดีมาก ดีจนเรียกว่าทำให้ร้านที่เค้ามีทำเลดีกว่าเรามาก ร้านใหญ่กว่าเรามากเป็นเท่าตัว ต้องเลิกกิจการกันไป เพราะลูกค้ามาทางเราหมด นั่นคือกิจการแรก ก่อนจะหันมาทำโรงภาพยนตร์ในเครือ เพชรรามา แมคแคนนา เพชรเอ็มไพร์ ก็เรียกว่ายังทำธุรกิจด้านบริการเหมือนเดิม แต่ใหญ่โตขึ้น เป็นธุรกิจบันเทิง วันนี้เลยมีทั้งโรงภาพยนตร์ สร้างหนังด้วย เติบโตมาโดยลำดับ และจากการที่เราคุ้นเคยกับการสร้างโรงหนังในย่านชุมชน ย่านตลาด ศูนย์การค้า ร้านค้าที่เป็นตึกแถวอาคารพาณิชย์ก็เปลี่ยนแปลงสภาพตามการเจริญของโลกมาเป็นศูนย์การค้า เป็นมัลติเพล็กซ์ เป็นซีนีเพล็กซ์ เป็นโรงหนังจำนวนมากๆ พัฒนามาเรื่อยๆ จนเป็นธุรกิจที่อยู่อาศัย เป็นตึกสูง 50 ชั้น ตึกที่สูงที่สุดในสุขุมวิท เป็นคอมพาวน์ใหญ่โต มีโรงแรม มีศูนย์การค้า มีสารพัดสรรพสิ่งอยู่ในอาคารเดียวกัน อย่างโครงการที่เราอยู่กันตอนนี้มีพื้นที่ 12 ไร่ มี 6 โซน เป็นคอนโดสองตึกนับแสนตารางเมตร มีหนึ่งโรงแรม มีมอลล์ศูนย์การค้าที่เป็นพื้นที่แนวราบ ถนนคนเดิน และอีกส่วนคือตลาด เป็นตลาดแนวใหม่ ไม่ใช่ตลาดสดผลไม้เหมือนที่ผ่านมา แต่เป็นตลาดที่มีการเปิดเอ็กซิบิชั่น มีการเอาสินค้าเฉพาะด้านมาจำหน่าย เป็นสินค้าที่ระลึกฝากขาย ซึ่งทุกโซนสัมพันธ์กันหมด วันข้างหน้าคนในโรงแรม ก็มาทานในศูนย์การค้า มีจัดเลี้ยงในโรงแรม จัดในมอลล์ได้ เพื่อให้คนที่มาอยู่ที่นี่มีความสนุกสนานกับความเกี่ยวเนื่องของตึกกับตึก แล้วก็เป็นการใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ เรียกว่าเป็น Big Use Property Management ซึ่งไม่ค่อยมีใครทำแบบนี้กัน นับว่าทั้งหมดนี่มาจากร้านกาแฟเล็กๆ โรงหนังเล็กๆ ขยายไปทั่วประเทศ จนเติบโตกลายเป็นธุรกิจในปัจจุบัน

 


เราจะมีทีมวิเคราะห์แล้วมาทำ Group discussion แล้วก็มาดูความเป็นไปได้ ธนาคารให้ความเชื่อถือ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นประสบการณ์นับว่าสำคัญที่สุด วันนี้เราก็ได้เรียนรู้ด้านอสังหาฯ มา 7-8 ปีแล้ว ก็ไม่น้อยแล้ว ถือว่าศึกษามาเยอะ

 


น้อยมาก หลักหมื่น เพราะเป็นร้านเล็กจริงๆ อยู่ที่สามแยกบุคคโล ปัจจุบันเป็นสี่แยกมไหศวรรย์ ร่วม 60 ปีมาแล้ว ชื่อร้านก็ไม่มี ผมเองเกิดมาในช่วงที่คุณพ่อเริ่มมีฐานะแล้ว เกิดมาพร้อมกับโรงภาพยนตร์ จนเห็นการพัฒนาด้านโรงภาพยนตร์จนอิ่มตัวเต็มพื้นที่ ขยายไปต่างจังหวัด จนตอนนี้ขยายไปต่างประเทศ จนเข้าตลาดหลักทรัพย์ซื้อขายในนามเมเจอร์


นับว่ามีทุกที่ เรื่องคนก็มาพร้อมกับความสับสนอลหม่านวุ่นวาย เป็นธรรมชาติ แต่มันก็แก้ได้ ปัญหาเรื่องคนเป็นเรื่องที่ต้องทำด้วยความรู้สึก ทำด้วยความยุติธรรม ทำด้วยคุณธรรม ถ้าเรามีความรู้สึก สัมผัสเค้าได้ เข้าถึงความรู้สึกของเค้าได้ เค้าจะรักเรา จะอยู่กับเราได้ พอเรามีความยุติธรรม เค้าก็จะเห็นว่าคนทำดีได้ดี คนที่ไม่ได้ทำดีก็จะไม่ได้ดี เค้าก็จะมีความตั้งใจในการทำงานแล้วบวกกับการมีคุณธรรม การช่วยเหลือดูแลครอบครัวเค้าด้วยไม่ใช่แค่ตัวเค้า จะทำให้เค้ารู้สึกว่าที่นี่คือครอบครัวเค้า คือบ้านของเค้า เค้าก็จะพัฒนาองค์กรโดยที่เราไม่ต้องสั่ง ทุกวันนี้ในส่วนของอสังหาฯรวมโรงแรมด้วยก็มีพนักงานประมาณ 200 คน

 


มีคุณพ่อเป็นต้นแบบ คุณพ่อเกิดเมืองไทย ไปโตเมืองจีน แล้วก็กลับมาสร้างธุรกิจที่เมืองไทย จนพอมีฐานะดีก็กลับไปบริจาคช่วยเหลือบ้านเกิดที่เมืองจีน สร้างถนน สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล สร้างที่ทำการของราชการเพื่อให้ตำบลมีความเจริญ ประชาชนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น ส่วนที่เมืองไทยคุณพ่อก็สร้างวัด สร้างโรงเรียน สร้างห้องเอนกประสงค์หลายๆ แห่ง ตอนนี้ทั้งสี่มุมเมืองมีหมด มีชื่อคุณพ่อ ดร.เจริญ พูลวรลักษณ์อยู่ตามราชวิถี ตามวัดบางนานอก บางนาใน โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี จนกระทั่งแถวมหาชัย เรียกว่าคุณพ่อสร้างไว้สี่ทิศเลย ถ้าไปก็จะเห็นชื่อเห็นรูปปั้นคุณพ่อ นี่เป็นการคืนกลับสังคม คืนกลับประเทศชาติ เป็นแนวคิดของคุณพ่อที่ว่าเมื่อเรามีก็ต้องแบ่งปัน คุณพ่อจ่ายไปเยอะมาก ในรอบ 30 ปีนี้เรียกว่าคุณพ่อใช้เวลาคืนให้กับสังคม ตอนนี้อายุ 88 ปีแล้ว ยังแข็งแรงอยู่เลย

 


ผมได้เข้ามาเรียน รุ่นที่ 4 ประมาณ 20 กว่าปีที่แล้ว ที่เข้าไปเรียนได้ก็เพราะตามพี่ชาย พี่ชายเข้าไปเรียนรุ่น 2 รุ่น 3 ไล่มาเป็นรุ่นๆ นับว่าเป็นสิ่งที่ดีมากเพราะเรียนเสร็จได้แต่งงาน เนื่องจากแม่ภรรยามาเรียนอยู่รุ่นที่ 3 แล้วตอนนั้นเป็นช่วงที่เรียนจบแล้ว เพิ่งเริ่มทำงาน ความคิดความอ่านเรายังเด็กมาก เราก็ได้ความรู้ ได้วิชาการ หลักคุณธรรมจริยธรรมจากดร.หลุยเยอะ รวมทั้งเรื่องเทคนิคการกระเซ้าเย้าแหย่การเป็นคนมีอารมณ์ขัน พวกนี้จะช่วยได้เยอะ เลยรู้จักกันหมดกับ อ.พิเชษฐ์ เวชสุภาพร พี่วัลลภ กิ่งชาญศิลป์นี่ก็เรียนรุ่นเดียวกัน ทุกคนน่ารัก และประสบความสำเร็จทั้งการงานและครอบครัว


มีพี่น้อง 7 คน พี่ชาย 3 คน ผมคนเล็กสุด บางท่านอย่างคนโตพี่ฟ้า พูลวรลักษณ์ก็เป็นนักเขียน เป็นศิลปิน สร้างหนังไม่เอากล่อง ไม่เน้นการค้า แต่ก็ได้รางวัล เคยได้รางวัลตัดต่อภาพยอดเยี่ยม ทำหนังสือแจก แล้วก็ได้เข้ารอบสุดท้ายรางวัลซีไรท์มาหลายปีเหมือนกัน เรียกว่าเป็นศิลปินไม่ได้เป็นนักธุรกิจ พี่ชายคนที่สอง คุณวิสูตร ทำหนังค่ายจีทีเอช นับว่าประสบความสำเร็จมาก ผลงานล่าสุดก็พี่มาก พระโขนง รายได้ทั่วประเทศนับพันล้านบาท ส่วนผมกับพี่วิชา ก็ช่วยกันทำโรงภาพยนตร์ แต่อีกภาพในวันนี้คือผมมาทำด้านอสังหาริมทรัพย์เต็มตัว ซึ่งอสังหาฯตอนนี้ถือว่าถ้าไม่เก่งจริงก็อยู่ไม่ได้


นำมาใช้หมดทุกอย่างทั้งการวางแผนการจัดการ Psychology management การรู้เขารู้เรา ไปจนถึงเรื่องการลดความเครียด บางทีเราทำงานแล้วเครียด อ.หลุยก็จะสอนการระบายความเครียด ให้อยู่กับความจริง และให้เข้าใจคนอื่น ซึ่งมันทำให้เรื่องพวกนี้อยู่ในตัวเราตั้งแต่บัดนั้นเลย แล้วอ.หลุยก็เป็นต้นแบบที่ดีด้วย อ.ปราณี น้องมิชิตา ทุกคนน่ารัก เรารู้สึกว่าสังคม The Boss เป็นสังคมที่ดี เป็นสังคมที่เข้ามาแล้วเหมือนมีครอบครัวใหญ่ รักกัน จริงใจ ช่วยเหลือกัน บางสถาบันไม่ได้ผูกพันกันขนาดนี้ แล้วทุกคนที่เข้ามาส่วนใหญ่มีพื้นฐานใกล้เคียงกัน ไม่ได้ต่างกันมากแบบสถาบันอื่นๆ ความคิดความอ่านเลยใกล้เคียงกัน เพราะผมเองก็เรียนมาหลายหลักสูตร หลายสถาบัน เข้าอบรมมาเยอะ แต่ที่นี่ถือว่าเป็นต้นแบบของการอบรม ทำให้รู้สึกว่าสังคมนี้มันน่าอยู่ รักใคร่ดูแลกัน เราก็ได้ประโยชน์จากเพื่อนๆ ในรุ่นแบบไม่รู้ตัว คือผมเป็นคนมองโลกในแง่ดีเรียกว่าเป็นนิสัยติดตัวเลย ฉะนั้นวันนี้เราจะมีความสุขมากกว่าคนอื่น ถ้าเรามองโลกในแง่ดี เราจะรู้จักการให้โอกาส ยอมรับได้ในความผิดพลาด แล้วก็จะรู้จักให้เครดิตกับทุกคน เมื่อทุกคนมีเครดิตดีพอเค้าทำดีเราก็ยิ่งเชื่อในสิ่งที่เราเห็นมา ได้ยินมา

 


ธุรกิจด้านอสังหาฯ นับว่าเป็นอีกขั้นหนึ่งของการพัฒนา จากที่เราเคยทำโรงหนังมาไปสร้างความเจริญให้กับชุมชนนั้นๆ วันนี้ก็นับว่าก้าวไปอีกขั้นคือไปสร้างความเจริญด้วยรูปธรรมแบบอื่นๆ สิ่งก่อสร้างอย่างอื่นแบบที่เล่าไปถึงโครงการหกโซนที่กำลังทำอยู่นี้ เดิมเองตรงนี้ก็เคยเป็นโรงภาพยนตร์เก่า เรามาทุบทิ้งหมด สร้างเป็นโครงการผสมผสานขึ้นมา

 


ก็จะมีน้องๆ ต่อมา ส่วนในองค์กรก็คิดว่าจะเริ่มส่งเข้าไป เพราะเราได้สิ่งดีๆ มา แต่เราไม่ได้ถ่ายทอดอย่างจริงจัง ส่วนใหญ่เราก็ใช้ชีวิตประจำวันของเราเป็นหลัก ควรจะส่งลูกทีมเข้าไป จะได้ใช้ภาษาเดียวกัน เข้าใจกันมากขึ้น


เยอะมาก หลายพันล้าน แต่ก็ได้กำไรกลับมาเยอะเช่นกัน นับจากคิดโครงการกว่าจะได้กำไรกลับมาก็ 7 ปี แต่ถ้านับจากลงทุนจริงๆ ก็ 4 ปี เพราะมันไม่ได้คืนหมดทีเดียวเพราะเราเป็นคอนโดมิเนียม แต่ถ้าเป็นรีเทลก็จะไปถึง 8-9 ปี จะนานขึ้น

 


ก็ยังจะอยู่กับธุรกิจอสังหาฯ แล้วก็ทำมากขึ้นๆ เพราะมีภารกิจที่ต้องทำตามฝัน ล่าฝันของตัวเองไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้เรียกว่าทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์ ทำงาน 24 ชั่วโมงต่อวัน แล้วก็พัก 7 วันต่อสัปดาห์ พัก 24 ชั่วโมงต่อวัน หมายถึงเราใช้เวลาพักผ่อนเป็นการทำงาน ใช้เวลาทำงานเป็นการพักผ่อนได้ โดยที่เราไม่เครียด สนุกกับมันได้ จริงๆ กิจการที่เราเป็นเจ้าของนี่ เราไม่เคยคิดว่าต้องเข้างานกี่โมง ตอกบัตรเป็นเวลา ถ้าเหตุจำเป็น ตีสองตีสามมีเหตุฉุกเฉินเราก็ต้องออกไปช่วยไปทำงาน อย่างลูกน้องประสบอุบัติเหตุเราก็ต้องวิ่งเข้าไปในฐานะหัวหน้า ดึกแค่ไหน เช้าแค่ไหน ไกลแค่ไหนก็ต้องไป เพราะนี่คือความเป็นหัวหน้า เป็นผู้นำองค์กร ฉะนั้นเวลาทำงานกับเวลาพักผ่อนจึงเป็นเวลาเดียวกัน แค่เราแบ่งจิตตัวเราเองข้างในให้มีห้องที่มันซอฟต์ลง นุ่มนวลลง เพื่อพักผ่อน เรียกว่าลดสปีดลง ถ้าลดมากๆ ก็คือหลับ บางทีหลับเรายังทำงานได้ให้จิตใต้สำนึกทำงาน คือคิดโจทย์ไว้ในใจแล้วดื่มน้ำเข้านอน ตื่นขึ้นมามันจะมีคำตอบให้ นี่คือสมองยังทำงานแต่มันเป็นพลังซ่อนอยู่ข้างในที่เรียกว่าจิตใต้สำนึก ทุกคนทำได้ เพียงแต่อาจจะไม่รู้ ต้องฝึกความคิด คือดึงพลังงานแฝงบางอย่างออกมาใช้ ผมถึงคิดอะไรไม่ค่อยเหมือนคนอื่นเยอะ คิดแตกต่างจากคนอื่นเยอะ เพราะคิดว่าที่ถูกต้องน่าจะเป็นแบบนี้ๆๆ มากกว่าที่จะเลียนแบบคนอื่นเค้า ใครทำอะไรซ้ำๆ ลองถามเค้าว่าทำไมทำแบบนี้ ถ้าเค้าตอบไม่ได้ก็แปลว่ามันไม่ใช่ เราก็ต้องไปคิดใหม่ว่าแล้วที่ถูกต้องมันคืออะไร ต้องเปลี่ยนวิธีคิดไป


มีเยอะมาก ปัญหามีทุกวัน อย่างเรื่องการแข่งขันที่รุนแรง ปัญหาเรื่องกฎหมาย เรื่องผังเมือง เรื่องเกี่ยวกับค่าเงินแลกเปลี่ยน อย่างเคยมีโครงการหนึ่ง ติดต่อกันเกือบสำเร็จแล้ว ค่าเงินเปลี่ยนแปลงทีหนึ่ง 30 เปอร์เซ็นต์ ก็ต้องหยุดการติดต่อ เป็นต้น อุปสรรคปัญหามีทุกวันแต่นับว่าเป็นเรื่องท้าทาย เพราะเราโดนฝึกมาให้คิดบวกกับปัญหา เรียกว่าปัญหามีไว้แก้ ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้ม ต้องทำให้ได้ แล้วเราก็ฝ่าฟันมาได้เรื่อยๆ หนักบ้างเบาบ้างแต่ก็แก้ได้หมด

 


ผมยึดหลักซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน ใช้ความซื่อสัตย์ความถูกต้องเป็นหลัก แล้วก็ขยันอดทน ซึ่งสามข้อนี้ก็มาจากปรัชญาพวกขงจื้ออะไรพวกนี้ เป็นพื้นฐานของคนจีนโบราณ ซึ่งมองว่ามันยังใช้ได้อยู่ แล้วก็ไม่ได้ยากเลย ถ้าเรามีความซื่อสัตย์กับตนเองและผู้อื่นมันก็จะแก้ปัญหาไปได้อีกร้อยแปดเรื่อง แล้วถ้าขยันอดทนใครก็ว่าเราไม่ได้ บางทีคนอื่นอาจจะฉลาดกว่าเรา เก่งกว่าเรา เราก็ต้องขยันขึ้นสองเท่าสามเท่าเพื่อให้ทันเค้า เราก็จะทำได้เหมือนเค้า


น่าจะเป็นเรื่องการซื้อที่ดินที่เราอาจจะแข่งกับบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้ เพราะเค้ามีทุนหนากว่า เยอะกว่า ทำให้เราซื้อสู้เค้าไม่ได้ เราเลยแก้โดยการที่จะเป็นบริษัทมหาชนเช่นกันในสิ้นปีนี้


ตอนผมอายุสัก 25 ก็ตั้งปณิธานไว้ว่าตอนอายุ 30 จะแต่งงาน จะมีลูก 4 คน จะมีเงิน 10 ล้านในมือ ตั้งเป้าไว้อย่างนี้ๆ แล้วพออายุ 30 ผมก็ทำได้อย่างที่ตั้งใจไว้ ได้เริ่มธุรกิจแบบเป็นเรื่องเป็นราว เลยอยากจะบอกว่าน้องๆ รุ่นใหม่ควรจะมีความมุ่งมั่น มีความอยากได้อยากมี คือตั้งเป้าไว้แล้วเรามุ่งมั่น เดินไปให้ถึง ที่สุดแล้วมันก็จะถึงจริงๆ แต่ถ้าเราไม่มีเป้าหมาย จะเดินไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมายมันก็ไม่มีประโยชน์