ไทย Eng
 


พูดคุยกับ ดร.วัลลภ กิ่งชาญศิลป์

ประธานกรรมการ กลุ่ม บริษัท กัทส์


จุดเริ่มต้นด้วยจิตวิญญาณของเรา เริ่มมาจากการรักษาความปลอดภัย และมีโอกาสไปเป็นตำรวจ ได้ไป Take course ที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานเมื่อปี 2516 ยิ่งทำให้เราฝังลึกลงไปถึง Know how วิธีการอารักขาตั้งแต่ราชวงศ์จนถึงบุคคลสำคัญ หลังจากนั้นได้มีโอกาสออกมาทำงานที่เกี่ยวข้อง ผมอยู่สันติบาล มีเรื่องการอารักขาบุคคลมากมาย แม้กระทั่งราชวงศ์ จากนั้นก็พลิกผันตัวเองไป เป็นผู้จัดการรักษาความปลอดภัยที่โรงแรมไฮแอทรามา มุมถนนสีลม เมื่อก่อนนี้ช่วงนั้นยังไม่ค่อยมีใครทำบริษัทรักษาความปลอดภัย ในภาคเอกชนเท่าไหร่นัก นอกจากจะใช้ส่วนราชการมาเกี่ยวข้อง บังเอิญมีกลุ่มของชาวต่างประเทศที่เลิกราจากสงครามเวียดนาม ก็มาตั้งบริษัทในเมืองไทย Service ในเรื่อง security guard ตอนนั้นผมยังเป็นตำรวจอยู่ ก็คิดได้ว่าเราก็มีวิญญาณของความเป็นนักธุรกิจด้วย ก็เอามาผสมกัน ผมเรียนอัสสัมชัญพาณิชย์ (A.C.C) แล้วไปต่อ มศว. พอจบก็มาเป็นตำรวจ

 


ลูกค้าก็มีส่วนหนึ่งที่วิ่งมาหาจากการแนะนำ แต่ตอนนี้พูดได้เลยว่า ตลาดเป็นของเรา เราเป็นฝ่ายเลือกลูกค้ามากกว่า โดยความมั่นคงต้องมาก่อน และความเข้าใจในสัญญา มีหลายรายที่ไม่เข้าใจ โดยเฉพาะกลุ่ม Family Business ที่สืบทอดกันมายาวนาน ไม่เข้าใจว่า จ้างให้รักษาความปลอดภัยแล้วเค้าต้องปลอดภัย จ้างไปแล้ว ของต้องไม่หาย ทั้งๆ ที่มันมี Factor อื่นๆ อีก จ้างไปแล้วไม่มีที่กันแดดกันฝนให้เรา ไม่มีห้องน้ำให้เข้า มันก็ไม่ใช่ หน้าที่ของผู้ว่าจ้างก็ส่วนหนึ่ง หน้าที่ของลูกจ้างก็ส่วนหนึ่ง เราต้องทำความเข้าใจ บางทีเลิกจากเราไปสัมผัสกับเจ้าอื่น แล้วก็กลับมาหาเราอีก นี่คือสิ่งที่เราภูมิใจ คือเลิกจากเราไปแล้วกลับมาใช้เราใหม่ในอัตราที่สูงมาก


จุดแรกที่ประสบความสำเร็จเร็วคือเราได้ Contact ใหญ่ ระดับปูนซีเมนต์ไทย แล้วเราก็ไปอยู่ในองค์กรใหญ่ๆ อันนี้เป็นReference ของเรา จากนั้นก็ได้สถานทูตอเมริกา ผมเริ่มจากคนไม่กี่คน แค่ 40-50 คน ขยายไปเรื่อยๆ เป็น 100-200% ปากต่อปากบอกต่อไปว่าเรามี Connection ยังไง ประสบความสำเร็จยังไง รวมทั้งมีผู้ใหญ่ที่ให้การเคารพนับถือ สนับสนุน เพื่อนๆ ก็ให้การสนับสนุนเช่นเดียวกัน ถือว่าเป็นเพคเกจที่ทำให้เราประสบความสำเร็จได้ส่วนหนึ่ง ซึ่งตอนนั้นโอกาสของคนหายาก ไม่ค่อยมีใครมีโอกาสอย่างผม เป็นช่วงแรกๆ ที่ธุรกิจนี้เข้ามา คนยังไม่ค่อยรู้จัก ส่วนใหญ่เป็นบริษัทของชาวต่างชาติไม่กี่บริษัท คนรอบข้างก็ไม่คิดว่าผมจะมาไกลได้ขนาดนี้

 


เรื่องของการรักษาความปลอดภัย ไปตั้งอยู่ที่วัตถุประสงค์ของการว่าจ้างเป็นหลัก เค้าจ้างเราไปทำอะไร ขอบเขตแค่ไหน บริเวณแค่ไหน ด้วยสายตามนุษย์มองเห็นได้ไกลแค่ไหน ถ้าให้รับผิดชอบในสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยก็คงไม่ใช่ มันต้องคุยกัน คุณจะใช้ระบบอะไร ระบบคอนโทรลเข้าออกหรือไม่ คุณมีรั้วรอบขอบชิดหรือไม่ คุณมีแสงสว่างเพียงพอหรือไม่ นี่ก็ต้องแบ่งหน้าที่กัน หรือคุณจ้างให้ผมไปจัดการจราจร แต่ของในออฟฟิสคุณหาย คุณจะมาเคลมเรา มันผิดวัตถุประสงค์ ต้องทำความเข้าใจกัน


ผม Break even ภายใน 6 เดือน จากการลงทุนเพียง 5 แสนบาท แล้วเราก็เริ่มขยาย บอกต่อๆ กัน กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรม เมื่อก่อนก็จ้างกันเองก็หันมาจ้าง Contactors มากขึ้น ธุรกิจบ้านเราก็บูมเร็วก่อน Crisis พอธุรกิจดี ร่ำรวย คนก็ต้องการความปลอดภัยมาก ก็แนะนำตัวไปเรื่อยๆ พอเจอสภาพ Crisis พอคนประสบความเดือดร้อน ก็หันกลับมาหาความปลอดภัยอีกนั่นแหละ อาชญากรรมสูง ก็ต้องหันมาใช้บริการ มันก็โตขึ้นมาเรื่อยๆ คู่แข่งในช่วงนั้นก็มี แต่น้อยกว่าปัจจุบัน ถ้าพูดถึง Top Five ก็น่าจะมี 3 บริษัทที่เป็นของต่างชาติ ที่ไปขอ Licence เค้ามา

 


เป็นงานระดับโลก ผมเป็นบริษัทเดียวที่ได้รับผิดชอบตอนมีการประชุม World Bank ครั้งแรกและครั้งเดียวที่กรุงเทพฯ UN ก็ใช้บริการผม สถานทูตอเมริกาใช้ผมยาวนานมา 5 ปีจนมีการเปลี่ยนแปลง รัฐบาลอเมริกันออกนโยบายให้บริษัทที่เป็นคนอเมริกันด้วยกันทำงานนี้เท่านั้น อีกส่วนหนึ่งคือได้สถาบันใหญ่ๆ อย่างปูนซีเมนต์ไทย สนง.ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ธนาคารต่างๆ


อันดับแรก ผมถือว่าการรักษาความปลอดภัยคือความมั่นคง เพราะเราสร้างความมั่นคงขึ้นมาได้คำว่า security คือความมั่นคงอยู่แล้ว ทุกคนมองว่าบริษัทอยู่ตึกแถวเล็กๆ ไปรับผิดชอบทรัพย์สินเป็นล้าน เป็นสิบล้าน พันล้าน ก็ดูกระไรอยู่ เราก็สร้างตรงนี้ขึ้นมาให้เกิดความมั่นคง น่าเชื่อถือ และเรื่อง Service เราเหนือ Service ขึ้นไป คือผมให้การบริการแบบไม่ใช่หยุดอยู่ที่ Contact ว่ายังไงก็อย่างงั้น เรามี Connection หน่วยราชการ เรารู้จักตำรวจ ศาล ฝ่ายปกครอง มันก็เอื้อกัน มาช่วยดูแลแนะนำลูกค้าได้อีกส่วนนึง มันผิดกับบริษัทต่างชาติที่ไม่มี Connection


ใกล้ถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ถ้าไม่ได้รับการพัฒนาให้เป็นรูปแบบของแรงงานฝีมือ ไม่อย่างนั้นจะถึงจุดจบที่ต้องใช้อุปกรณ์แทนคน แต่ของเราหนีไม่พ้นใช้คนบริการอยู่ และผมก็มีการเตรียมการรองรับไว้แล้วในระบบวงจรปิด คือเรารุดหน้าไปก่อนคนอื่นแล้วเพราะเราเป็นผู้นำ เราสร้างโรงเรียนรักษาความปลอดภัยของเอกชน โดยกระทรวงศึกษาฯรับรอง คนที่มาเรียนโรงเรียนผมมีเยอะมาก ผมยังไม่รับคนนอกนะ เพราะผมยังเก็บคนของผมไม่หมดเลย

ตอนนี้ได้ 4-5 พันคน ผมมีครูฝึกเองและมีเชิญมาจากข้างนอก อยู่ที่ผู้ว่าจ้างด้วยว่าต้องการให้ทำงานใดเป็นพิเศษ ผมก็จะเสริมเข้าไป

รปภ.ทั่วไปอาจแค่ฝึกฝนวันเดียวหรือไม่ได้ฝึกเลยก็มี แต่ผมฝึกอย่างน้อย 3 วัน เข้าค่ายเก็บตัว เรามีโรงนอนพร้อม ต้องรู้จักวิชาพื้นฐานงานรักษาความปลอดภัย รู้จักองค์กร ต้องออกไปโลดแล่นในการฝึกงาน ระยะหลังก็มีตำรวจ ทหาร หรือคนที่มาจากบริษัทอื่นก็มาสมัครกับเรา

ผมเป็นบริษัทแรกๆ ที่นำอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยมาใช้อย่างครบวงจร นอกจากนั้นเราก็เป็นที่ตั้งของสมาคมรักษาความปลอดภัย ผมเป็นนายกสมาคมรักษาความปลอดภัยภาคพื้นเอเชียประจำประเทศไทย มี 10 ประเทศที่เป็นสมาชิก ก็เป็นผู้นำหลายๆ ด้าน ผมเป็นกรรมการในองค์กรต่างๆที่ทำเพื่อสังคมเยอะมาก เช่น กรรมการประกันสังคม สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจแห่งชาติ กรรมการหอการค้า วิทยากรตามมหาวิทยาลัยต่างๆ

ต่อไปมี AEC เข้ามา ผมก็เริ่มเทคคอร์สภาษาอังกฤษเพิ่มเติมให้แล้ว ได้ครูจากกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ผมเริ่มก่อนใครเลย เอาเบสิคที่เกี่ยวกับงานบริการ และศัพท์ที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัย ก็ไปต่อยอดได้อีก

 


จากเริ่มแรกมี 50 คน เพิ่มเป็นพัน ภายใน 3 ปี หลังจากนั้นก็เพิ่มมาเรื่อย โตเร็วมาก 32 ปีแล้ว มีหมื่นกว่าคน ระยะหลังจาก 30 ปีแล้ว ถ้าเรามีวัตถุดิบ หมายถึงขบวนการผลิตบุคลากร เราขาดแคลนบุคลากร ถ้าเรามีบุคลากรพร้อม ผมว่ามีเป็นแสนคนผมก็ทำได้ ประกอบกับคู่แข่งมีทั่วไป เยอะมาก มีที่รับเองบ้าง ตำรวจ ทหารรับเองบ้าง ความต้องการของคนที่จะเป็น รปภ. ผมว่ามีไม่ต่ำกว่า 4 แสนคนทั่วประเทศ

 


ตอนนี้ผมผันตัวเองไปทำเรียลเอสเตท ที่เขาใหญ่กับเพื่อนๆ หุ้นกัน 3 คน ไปได้ด้วยดีถึงแม้จะทำทีหลังเค้า ก็มาจากเพื่อนๆ แนะนำกัน ผมอยู่ในช่วงรีไทร์ตัวเอง และมีทายาทมาสืบทอดธุรกิจแล้ว ผมก็มีเวลาไปทำอย่างอื่นบ้าง


ตั้งแต่เดินเข้ามาบุคลิกต้องบ่งบอก ประวัติอาชญากรรม ตรวจสารเสพติด และฝึกอบรม ตามขั้นตอน การฝึกอบรมสำคัญมาก บางคนก็เป็นทหารมาบ้าง แต่ไม่ได้มาแบบวิชาชีพ รปภ.โดยแท้จริง ทุกคนมองว่ามาเฝ้ายาม แต่ผมบอกไม่ได้ คุณเป็นพนักงาน รปภ. ต้องรักษาความปลอดภัยอย่างเต็มรูปแบบ ต้องรู้หมด ต้องมีงาน Service เข้ามาเกี่ยวข้อง โสตประสาทต้องใช้หมด ตาดูหูฟังจมูกดมปากพูดมือต้องให้สัญญาณ ถ้าใครคิดว่าไปเฝ้ายามคือไปเฝ้าดูไม่ให้ใครบุกรุกอย่างเดียว มันไม่ใช่ ปัจจุบัน service อย่างอื่นด้วย เช่น ไปเป็น Doorman ไปทำจราจร ไปเป็นพนักงานดับเพลิง ต้องทำได้หมด

 


ผมมีที่ 500 ไร่ ถนนธนะรัชต์ ทางขึ้นเขาใหญ่ มีภูเขา 5 ลูก เลยตั้งชื่อว่า มิราเคิลไฟว์ เฟสแรก ร้อยกว่าไร่ขายได้ 80 กว่าเปอร์เซ็นต์แล้ว เพิ่งเปิดได้ 4-5 เดือนเอง ผมขายที่ดินแล้วมีแบบบ้านให้เลือก มันเป็นกระแสด้วย ต่อไปผมมองว่าคนอยู่เขาใหญ่ก็มาทำงานกรุงเทพฯได้เพราะจะมีมอเตอร์เวย์และรถไฟความเร็วสูงแล้ว ธุรกิจอื่นๆ คงไม่มีแล้ว เรียลเอสเตทก็สุดยอดแล้ว มันครบวงจรหลายๆ ด้าน


ผนวกมาจากประสบการณ์ การเป็นตำรวจ เอามา Apply แล้วก็เดินทางไปดูงานต่างประเทศ เข้าไปอบรมต่างประเทศ เข้าไปสมาคมต่างๆ ก็รับข้อมูลมาเยอะ ทั้งวิชาการและปฏิบัติ ผมลงมือเองทุกอย่าง ตั้งแต่ฝึกจนกระทั่ง เก็บเงิน ออกตรวจ ผมทำทุกอย่างเอง ในตอนเริ่มต้น หลังจากนั้นก็ฝึกคนให้สืบทอดจากผม เมื่อก่อนเริ่มจาก Family Business จนกระทั่งผมได้ไป Take course ที่ The Boss ผมเริ่มรู้ว่ามันต้องเป็นระบบแล้ว เราต้องเปลี่ยนแปลง อีกส่วนหนึ่งผมก็ไปเข้าคอร์สที่ธรรมศาสตร์ Mini MBA ผมก็ไปรับมาเต็มๆ แต่ที่ The Boss อ.หลุยให้ผมมากโดยเฉพาะ Psychology ซึ่งเราอยู่กับคน อ.หลุยสอนให้เราอยู่กับคนด้วยจิตใจที่สอดใส่การบริการเข้าไปด้วย ดูแลลูกค้าทั้งภายนอกภายใน สำหรับ The Boss ถือเป็นการ Take course ที่ทำให้ผมประสบความความสำเร็จในเชิงธุรกิจมาก หลังจากนั้นสามารถมา Apply ทำระบบ ISO ซึ่งเราทำแล้วประสบความสำเร็จ เพราะผมได้เรียนรู้จาก The Boss มาเหมือนกัน ในขณะนั้นผมเรียนรุ่นที่ 4 ก็มีเพื่อนๆ รุ่น 1-5 เราจะทำกิจกรรมร่วมกันมาตลอด แต่ผมไม่ทราบว่าตอนหลังเขาเป็นอย่างไรกัน

ซึ่งผมจะห่างจากรุ่นหลังๆ ไป แต่ความเป็น The Boss มันเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ได้รับการยอมรับว่าเมื่อเราไป Take course แล้ว ทำให้เราเกาะกลุ่มกัน ไม่เหมือนกับที่อื่นๆ ที่ผมไป Take course มา ซึ่งก่อนที่จะมา Take course ที่ The Boss มีเพื่อนมาเล่าให้ฟัง ผมก็เฝ้าดูอยู่จนมาเข้ารุ่นที่ 4 และแน่นอนผมได้ Connection จากที่นี่ เพื่อนๆ ใช้บริการผมเยอะมาก ผมเป็นนักกิจกรรมด้วย อาจารย์รู้จักผมดี

 


ทำตามธรรมชาติ ให้ได้เรียนรู้และสัมผัสสิ่งที่เห็นไปเรื่อยๆ มันเป็นรูปแบบของการ Absorb ก็ดีที่เค้าไม่ได้ออกนอกลู่นอกทาง ผมมีลูกชาย 2 คน ตอนนี้แบ่งหน้าที่กันทำงานทั้งคู่ ผมไม่ได้บังคับ เค้าชอบทางนี้อยู่แล้ว และก็มีสะใภ้ 2 คน ก็มาช่วยงานด้วย ตัวคีย์ก็คือคุณแม่ เก่งมาก จากแม่บ้านที่ไม่เคยทำอะไรเลย ผมถ่ายทอดให้เค้า และเค้าก็สัมผัสทุกวัน เหมือนกับที่ผมถ่ายทอดให้ลูกๆ แม่เค้าไปได้เร็ว ดูแลหมด ผมแทบไม่ต้องทำอะไร ช่วงที่ทำงานหนัก ผมนอน 3-4 ชั่วโมงเป็นเรื่องปกติ มันต้องมีเรื่องของการ Entertain ด้วย ชวนลูกค้าไปทำความรู้จัก ทั้งเล่นกอล์ฟ บันเทิง ร้องเพลงดึกดื่น จับผู้ใหญ่วงการอื่นๆ มาเจอกัน เป็นธรรมดา เราเปลืองเวลาและเปลืองสุขภาพก็เพราะตรงนี้เหมือนกัน ตอนนี้ก็เป็นช่วงใช้เวลาพักผ่อนเสียส่วนใหญ่

 


ผมไม่ค่อยยืดติดกับอะไร ผมมองชีวิตแบบ เมื่อวาน วันนี้ พรุ่งนี้ ผมคิดและวางแผน ไกลไปกว่านั้น เป็นเรื่องของระบบ ดูว่าวันนี้ผมทำอะไร เมื่อวานทำอะไรเอามาเป็นบทเรียนได้บ้าง พรุ่งนี้มีอะไรทำมั้ย ผมจะวนอยู่แบบนี้ แต่ระบบมันจะทำให้เราคาดการณ์ได้ว่าถึงตรงนั้นแล้วจะเป็นอย่างไร เราไม่ต้องโฟกัสไกลมาก เพ้อฝันแล้วเฟลก็เยอะ ตั้งใจว่าอนาคตจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่มันกำหนดไม่ได้ กำหนดช่วง 3 วันนี้ ผมว่ากำหนดได้ มันชัดเจน ผมไม่แน่ใจว่าคนอื่นจะใช้แบบนี้หรือเปล่านะ


เป็นธรรมดา คนมากย่อมเป็นปัญหา เราค่อนข้างจับจุดได้มาก การที่เรามีคนมาก เราก็ได้เรียนรู้มาก แล้วเราก็สามารถสร้างตัวแทนได้มาก สิ่งหนึ่งที่ผมได้จากพวกเค้าคือ ให้เค้าเห็นความมั่นคงของเราก่อนที่เค้าจะมาทำงานกับเรา และต้องเอาความซื่อสัตย์เป็นที่ตั้ง งานของเราถ้าใครไม่ซื่อทำไม่ได้
คุณสมบัติความซื่อสัตย์ของมนุษย์เรา เป็นสุดยอดของคุณสมบัติ ถ้ามนุษย์ไม่ซื่อสัตย์ก็ไม่เป็นที่ยอมรับ สิ่งที่เราสร้างก็คือตรงนี้ ถ้าวันหนึ่งคุณไม่ซื่อสัตย์ก็ทำงานกับเราไม่ได้


ผมเริ่มต้นจากศูนย์ การที่ผมมีวันนี้ได้ ลูกน้องก็เป็นส่วนสำคัญ สิ้นเดือนนี้ผมก็จะพาผู้บริหารไปท่องยุโรป คนที่อยู่กับผมไม่จำเป็นต้องจบปริญญา จากการที่ผมไปอยู่ The Boss คุณไปต่อยอดได้ ผมก็เลยส่งคนไปเรียน หลักสูตร Manager ร้อยกว่าคน ในออฟฟิสมีพนักงาน 400 กว่าคน ผมก็ดูแลเค้า ดูแลครอบครัวเค้า ถ้ารวมพนักงาน รปภ.ทั้งหมดก็มีประมาณหมื่นกว่าคน พนักงานของผมมีผู้หญิง 10% เพราะบางแห่งต้องการ บางแห่งใช้ความอ่อนชนะความแข็ง อย่างเช่นการตรวจค้น

รปภ.ปีนึง เทิร์นโอเวอร์ 70% มีคนมาให้ผมสัมผัสใน 30 ปีเป็นแสนๆ คน เรามีส่วนที่สร้างคน วันนึงเรารู้จักคนเพิ่มคนนึงก็ดีใจตายแล้ว ดีกว่าที่อยู่ในห้องสี่เหลี่ยม แล้วไม่รู้จักใครเพิ่มเลย 1 วันก็หายไปแล้ว เรารู้จักคนเพิ่มขึ้นทุกวัน ยิ่งออกไปตรวจ ไปพบเค้าที่หน้างาน เราก็จะรู้จักเค้ามากขึ้น เราก็ดูแลเค้าได้มากขึ้น ได้ช่วยเหลือเค้า เมื่อเค้าเดือดร้อนก็มาหาเรา ผมบอกลูกน้องว่า Two way communication ต้องมีกับคนเหล่านี้ ผมมีสายตรวจ 24 ชั่วโมง ออฟฟิสผมเปิด 24 ชั่วโมง ผมก็มีส่วนที่ Apply จากงานตำรวจมาใช้กับงานนี้ ดร.หลุย กับคุณพิเชษฐ์เรียกผมว่าสารวัตรจุ๊บ

ส่วนปัญหาอื่นๆ ในช่วงแรกคือ Financial เพราะผมทำงานก่อนถึงจะรับเงิน การหมุนเงินก็ต้องมีการรองรับ พออยู่ตัวก็ไม่เป็นไร ลูกค้าบางคนใช้บริการแล้วไม่จ่าย 3 เดือน 6 เดือน ก็มี บางทีค้างชำระเยอะมากจนต้องบอกเลิกกันเลยก็มี เราก็เห็นใจที่เค้าประกอบธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จ

มีปัญหาเรื่องเงินก็ดูแลกัน ช่วยกัน โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจในช่วงแรกๆ การเบิกเงินเบิกจ่ายยุ่งยากมาก เราก็อดทน ต้องมีสายป่านยาว แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว