ไทย Eng
 


พูดคุยกับคุณรัตนา เตชะพันธ์งาม

กรรมการผู้จัดการ
บริษัท สมพลเบดดิ้ง แอนด์ แมทเทรส อินดัสตรี จำกัด


สมัยเด็กๆ คุณพ่อมีกิจการผลิตที่นอนนุ่นที่รับช่วงต่อมาจากคุณปู่ของดิฉันอีกที โดยตอนนั้นร้านของเราตั้งอยู่ที่พาหุรัด ต่อมาคุณพ่อได้แยกตัวออกมาผลิตที่นอนขายเอง โดยตั้งร้านที่นอน ชื่อ ที่นอนสุขวัฒนา อยู่แถวย่านกิ่งเพชร ตอนนั้นในย่านนั้นมีร้านที่นอนหลายร้านมาก แต่ร้านพวกนั้นคือลูกค้าของคุณพ่อทั้งหมด เพราะโรงงานของคุณพ่อผลิตให้กับทุกร้าน โดยเปิดราคาขายเท่ากัน แต่คนทั่วไปจะไม่ทราบ คิดว่าเราเป็นร้านที่นอนร้านหนึ่งเหมือนกับร้านอื่นๆ ดิฉันมีส่วนร่วมในการผลิตที่นอนมาตั้งแต่จำความได้ รู้ตั้งแต่การผลิต การขาย และการตลาด จำได้ว่าตอนอายุ 12 ปีก็พิมพ์ดีด เปิดบิลขาย รับโทรศัพท์ รับวัตถุดิบเข้า และช่วยขายสินค้าหน้าร้านด้วย ดิฉันต้องช่วยดูแลพนักงานทั้งหมด

ส่วนเรื่องการเรียน เนื่องจากครอบครัวดิฉันเป็นครอบครัวคนจีนที่ไม่ค่อยเน้นเรื่องการให้การศึกษากับลูกสาว เพราะเห็นว่าวันหนึ่งก็ต้องแต่งงานมีครอบครัวไป พี่ชายกับน้องชายก็จะได้รับการสนับสนุนเรื่องการเรียนมากกว่า ส่วนดิฉัน ทุกวันกว่าจะได้อ่านหนังสือเรียน ก็ต้องหลังปิดร้านตอนสองทุ่ม เรียกว่ากลับมาจากโรงเรียนก็ต้องมาช่วยงานก่อน แต่ดิฉันก็เรียนได้ที่หนึ่งทุกเทอม เพราะมีความสุขกับการได้ไปโรงเรียน ได้เจอเพื่อน ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จากคุณครู เวลาเรียนก็จะนั่งหน้าสุดตลอด แล้วมักจะจำสิ่งที่ครูสอนได้ กลับมาถ้าไม่ทวนก็จำได้ เพราะดิฉันสนใจและคอยถามสิ่งที่ไม่เข้าใจตลอด เลยทำให้ถึงมีเวลาทบทวนบทเรียนน้อย ก็ยังเรียนได้ดี

การที่ดิฉันเรียนได้ดีได้ทำให้ดิฉันมีโอกาสต่อรองกับคุณพ่อให้ส่งดิฉันเรียนต่อ จนกระทั่งดิฉันเรียนจบถึงชั้น มศ. 3 ที่โรงเรียนแอ๊ดเวนตีส แถวเอกมัย (ปัจจุบันคือ โรงเรียนนานาชาติเอกมัย) ตอนนั้นก็ผจญภัยค่อนข้างมาก ไปเรียนด้วยตัวเอง ขึ้นรถเมล์ไป วันไหนไม่มีค่ารถก็ลงป้ายถัดไป แล้วขึ้นคันใหม่ หลังจากจบ มศ. 3 ดิฉันก็คิดว่าคงไม่ได้เรียนต่อแน่ แต่พอดีมีเพื่อนชวนไปเรียนหลักสูตรเลขานุการที่โรงเรียนโฮลี่ พระกุมารเยซูวิทยา ซึ่งเป็นโรงเรียนคอนแวนต์แห่งหนึ่ง หลักสูตรแค่สามปี แต่สอนเป็นภาษาอังกฤษล้วน กฎระเบียบเยอะมาก มีแม่ชีที่เรียกว่าซิสเตอร์คอยดูแล เรียกว่าห้ามไม่ให้เห็นภาษาไทยแม้แต่ตัวเดียวเลยเวลาอยู่ที่โรงเรียน ทำให้ทุกคนที่จบมาใช้ภาษาอังกฤษได้ดีมาก การเรียนที่นั่นทำให้ดิฉันพูดภาษาอังกฤษได้ ทั้งๆ ที่ความจริงไม่น่าจะได้

หลังจากเรียนจบหลักสูตรฯ ดิฉันก็ยังช่วยงานของที่บ้านอยู่ หน้าที่ของดิฉันก็ค่อนข้างถึงลูกถึงคนอยู่ทีเดียว เวลาคนขับรถไม่มา คุณพ่อก็ให้ดิฉันขับรถไปส่งสินค้าเอง ทั้งๆ ที่ตอนนั้นอายุยังน้อย บางครั้งก็ต้องขับรถหกล้อเอง เพราะคนขับไม่มา เวลาขับก็ต้องใส่หมวกแก๊บเอา ให้ดูเหมือนเป็นเด็กผู้ชาย จนกระทั่งวันหนึ่ง สามีในอนาคต (คุณสมชาย เตชะพันธ์งาม) ได้ยินเกี่ยวกับตัวดิฉัน เพราะเพื่อนของเขาไปเล่าให้ฟังว่า ลูกสาวโรงงานผลิตที่นอนคนนี้แน่มาก วันนี้เพิ่งขับรถหกล้อปาดหน้าเขาไป ความจริงคือ ดิฉันขับรถแย่มากในตอนนั้น นึกจะแซงก็แซง เพราะต้องทำงานแข่งกับเวลาตลอด เพื่อที่เราจะได้มีเวลาทำเรื่องส่วนตัวของเรา เช่น อ่านหนังสือที่เราชอบ

 


การเรียน The Boss ทำให้ดิฉันเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า การลงทุนต้องมีการเขียนแผนธุรกิจ ต้องเตรียมพร้อม อีกเรื่องหนึ่งที่ประทับใจ คือ การที่ได้มีโอกาสแบ่งปันประสบการณ์ให้กับเพื่อนๆ มีการเปิดความในใจกันตอนช่วงที่ไป outing ที่พัทยา ทำให้ดิฉันมีเพื่อนสนิทมาจนถึงทุกวันนี้

 

 


สามีของดิฉัน ตอนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ขายของบริษัทผลิตที่นอนอีกยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งร้านที่นอนของคุณพ่อก็ซื้อที่นอนของบริษัทนี้มาขายด้วยนอกเหนือไปจากที่นอนที่ผลิตเอง ตอนนั้นที่นอนแบรนด์ที่คุณสมชายขายอยู่ขายดีมาก เป็นอันดับหนึ่งของประเทศเลยก็ว่าได้ และร้านของคุณพ่อก็เป็นลูกค้าอันดับหนึ่งของบริษัทนี้ ซึ่งคุณสมชายเองก็ได้รับหน้าที่มาดูแลร้านที่นอนสุขวัฒนาของคุณพ่อ ก็เลยทำให้ดิฉันกับคุณสมชายได้เจอกัน ตอนแรกคุณพ่อไม่ค่อยชอบ เพราะครอบครัวของคุณสมชายมิได้มีฐานะ แต่ด้วยความที่คุณสมชายเป็นคนจริงใจมากๆ ซื่อสัตย์ และ ค้าขายเก่งมาก เรียกว่าเป็นเจ้าหน้าที่ขายอันดับหนึ่งของบริษัทที่นอนที่ทำงานอยู่เลย นอกจากนี้ คุณสมชายยังเป็นคนมีน้ำใจ และใจกว้าง สุดท้ายดิฉันก็เลยแต่งงานกับคุณสมชายหลังจากที่รู้จักกันได้สองปี ตอนนั้นคุณพ่อไม่พอใจมาก เพราะท่านอยากให้ดิฉันแต่งงานกับคนที่เลือกไว้ให้มากกว่า แต่ดิฉันคิดว่าหากเราได้อยู่กับคุณสมชายคงจะมีความสุข เพราะเขารักดิฉันมาก และครอบครัวของคุณสมชายก็มีน้ำใจและอบอุ่นมาก ดูแลดิฉันประดุจเจ้าหญิง เพราะถือว่าดิฉันมาจากครอบครัวที่มีฐานะ

ดิฉันเองก็ต้องการพิสูจน์ให้คุณพ่อเห็นว่า ดิฉันได้เลือกแต่งงานกับคนดีมีความสามารถที่จะสามารถช่วยเหลือกิจการของคุณพ่อได้อย่างมหาศาล แล้วก็เป็นไปตามที่ดิฉันคาด เพราะเมื่อคุณสมชายได้มาดูแลการขายสินค้าของกิจการของคุณพ่อ ยอดขายก็เติบโตขึ้นอย่างมากมาย จนคุณพ่อได้เป็นเจ้าของโรงงานที่นอนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศในขณะนั้น คุณสมชายเลยกลายเป็นลูกเขยคนโปรด ขนาดคุณแม่ดิฉันยังบอกให้หาแฟนให้น้องสาวดิฉันหน่อย จะได้ได้คนดีแบบคุณสมชายบ้าง

 

ในเวลาต่อมาดิฉันก็เริ่มมีแนวทางในการทำธุรกิจไม่เหมือนกับที่คุณพ่อคิด ก็เลยออกมาทำงานข้างนอก เป็นเลขานุการให้กับกรรมการผู้จัดการของบริษัทต่างๆ ดิฉันมีความสุขกับการทำงานมาก เพราะเจ้านายทุกคนรักดิฉัน ดิฉันทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการแปลเอกสาร ดูสัญญาการซื้อขายต่างๆ และเป็นแม่งานการจัดงานสังสรรค์ต่างๆ ของบริษัท


จนวันหนึ่งคุณพ่อได้ขอให้ดิฉันไปช่วยเปิดร้านที่นอนที่อาคารพาณิชย์ขนาด 4 ห้องแห่งหนึ่งแถวลาดพร้าว ตอนนั้นลาดพร้าวยังเป็นบ้านนอกอยู่ เลยไม่มีพี่น้องของดิฉันคนไหนยอมไปช่วย ดิฉันก็เลยขอเป็นตัวแทนจำหน่ายที่นอนของคุณพ่อ เพราะอยากมีกิจการของตัวเอง ซึ่งคุณพ่อก็ตกลง ดิฉันและคุณสมชายก็เลยบริหารร้านที่นอนร้านนั้นอยู่ห้าปี มีลูกค้าเยอะมากจนกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของแบรนด์ที่นอนของคุณพ่อไปเลย


ในปีที่สี่ที่อยู่ที่ลาดพร้าว น้องชายของดิฉันแต่งงาน ทำให้ดิฉันต้องคืนอาคารหลังนี้ให้กับน้องตามความตั้งใจของคุณพ่อ ดิฉันและคุณสมชายก็เลยมาซื้ออาคารใหม่ที่ถนนศรีนครินทร์และเริ่มตั้งโรงงานผลิตที่นอนของตัวเอง การมาทำโรงงานนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่อาศัยที่ดิฉันเคยดูแลโรงงานของคุณพ่อมาก่อน ดิฉันเลยรู้ว่าที่นอนต้องผลิตอย่างไร ต้องใช้เครื่องจักรแบบไหน เทคนิคที่สำคัญคืออะไร ทั้งๆ ที่ดิฉันไม่เคยคิดเลยว่าสักวันหนึ่งจะมีโรงงานที่นอนเป็นของตัวเอง


หลังจากก่อตั้งโรงงานมาได้ประมาณปีหนึ่ง คุณพ่อก็มาเยี่ยมที่โรงงาน พอกลับไปก็ไปบอกคุณแม่ว่าสินค้าที่เราผลิตดูดีกว่าของโรงงานคุณพ่อเสียอีก ดิฉันคิดว่าคุณพ่อคงภูมิใจ เพราะลูกคนนี้ถูกคุณพ่อใช้งานมากที่สุด หลังจากนั้น ดิฉันก็มีโอกาสไปดูงานในต่างประเทศเพิ่มเติม เพราะเรื่องภาษาไม่ใช่ปัญหาสำหรับดิฉันอยู่แล้ว ก็เดินทางไปทั้งยุโรปและสหรัฐอเมริกา ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการผลิตที่นอนเพิ่มเติมเยอะมาก

 


ช่วยแบบเป็นเรื่องเป็นราวคงไม่มี แต่เราได้แบ่งปันเรื่องต่างๆ ให้แก่กันและกันหลายเรื่อง เช่น แหล่งในการซื้อสินค้าบางอย่าง เป็นต้น และเราก็เชื่อใจกัน ที่ดิฉันคาดไม่ถึงคือ หากจะซื้อที่นอน เพื่อนทุกคนจะมาหาดิฉันทันที เพราะเขาไว้ใจดิฉัน และเห็นว่าเราขายสินค้าให้กับผู้นำและบุคคลสำคัญระดับประเทศ โรงแรมห้าดาวเกือบทั้งหมดในประเทศไทยก็เป็นลูกค้าของเรา และแม้กระทั่งเมื่อลูกค้าของเราไปเปิดโรงแรมใหม่ในต่างประเทศ ก็ยังคงไว้วางใจให้เราผลิตที่นอนและเครื่องนอนให้ต่อ

 

เรียกว่าน่าจะมาจากความบังเอิญมากกว่า ที่ผ่านมาดิฉันทราบข่าวอะไรมาก็จะนึกถึงเพื่อน The Boss ดิฉันไม่เคยคิดเรื่องผลประโยชน์กับเพื่อน อย่างเวลาเจอกันบนโต๊ะอาหารก็จะคุยกันถึงเรื่องสัพเพเหระ ไม่ได้คุยเรื่องธุรกิจ ไม่มีการขายของ จนกระทั่งพอจบหลักสูตร The Boss มาใหม่ๆ มีกรรมการท่านหนึ่งในสมาคมฯ ตอนนั้นไปกระซิบบอกนายกสมาคมในขณะนั้น (คุณลัดดา วิศวผลบุญ) ว่าดิฉันน่าสนใจมาก ควรชวนเข้ามาเป็นกรรมการบริหารสมาคมฯ คุณลัดดาจึงชวนให้เข้าร่วมสมาคมฯ ตอนแรกๆ ดิฉันก็ไม่มั่นใจว่าจะช่วยเหลืองานอะไรได้ แต่คุณลัดดาก็ให้ไปเป็นเหรัญญิก ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ดิฉันเคยทำให้กับกลุ่มเพื่อนอื่นๆ มาตลอด ตอนเรียนที่รามคำแหงก็ทำ ตอนเรียน Mini MBA ที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ก็ทำ ดิฉันได้มีโอกาสร่วมงานกับสมาคมฯ อยู่หนึ่งปี พอถึงกำหนดครบวาระการเป็นนายกสมาคมฯ ของคุณลัดดา คณะกรรมการทุกท่านก็อยากให้ดิฉันเป็นนายกสมาคมฯ คนต่อไป ซึ่งดิฉันตกใจมาก ว่าทำไมทุกท่านถึงเลือกดิฉัน เพราะมีท่านอื่นที่มีศักยภาพเยอะมาก เป็นเจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีความสามารถ แต่กรรมการทุกท่านอยากให้ดิฉันเป็น เพราะดูแล้วดิฉันน่าจะมีเวลาไปร่วมประชุมได้ มีบุคลิกที่จะประสานคนจากหลายๆ ฝ่ายให้เกิดความสมัครสมานมากขึ้นได้ และดิฉันก็เข้ากับคนง่าย สุภาพ และยิ้มสู้เสมอ

 

ทันทีที่ทราบว่าต้องเป็นนายกสมาคมฯ ดิฉันก็คิดเลยว่ามีอะไรที่ควรปรับปรุงแก้ไขบ้าง ก็เลยเริ่มวางแผนการบริหารงาน เช่น เราควรจะเอากรรมการจากคณะกรรมการฯ ชุดเก่าๆ ที่มีประสบการณ์ เคยผ่านงานสมาคมฯ มาแล้ว มาร่วมกับกรรมการชุดใหม่ที่เพิ่งจบหลักสูตร The Boss มาได้ไม่นาน จากที่ประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งแรกที่ผ่านมา กรรมการทุกท่านก็เสนอแนวความคิดได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ทำให้เชื่อว่าสมาคมฯ จะเดินไปข้างหน้าได้อย่างราบรื่น ซึ่งเป้าหมายของเราก็คือ ทำให้สมาคมฯ มีชื่อเสียงมากขึ้น ด้วยรูปแบบการตลาดสมัยใหม่ ซึ่งตอนนี้ยังเปิดเผยอะไรมากไม่ได้ แต่เราจะค่อยๆ มีการเปิดแผนของเราออกมาให้สมาชิกฯ รับทราบอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ เราถือว่า MPI เหมือนเป็นแม่ เราเป็นลูก ถ้าไม่มีแม่ ลูกก็เกิดมาไม่ได้ แล้วแม่ก็ยังผลิตลูกออกมาเรื่อยๆ ช่วยให้เราได้เติบโตกันไปอย่างมั่นคง หากทางสมาคมฯ ทำอะไร ทาง MPI ก็น่าจะได้รับผลดีด้วย ความจริงทุกท่านที่ได้ผ่านหลักสูตร The Boss ไม่ว่าจะในอดีตหรือปัจจุบัน ก็ถือว่าเป็นนักธุรกิจระดับชั้นนำของประเทศ ถ้ามารวมตัวกันก็น่าจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกให้กับประเทศได้ เพราะคนกลุ่มนี้มีพลัง ดิฉันเลยอยากเป็นตัวกลางให้เกิดการรวมตัวกัน มีการเชื่อมโยงระหว่างนักธุรกิจรุ่นบุกเบิกที่มีประสบการณ์ และนักธุรกิจรุ่นลูกที่ไฟแรง มีความรู้ ความสามารถ

 

 

จุดแข็งของสปริงเมท คือ ด้วยประสบการณ์ของเรา เรารู้ว่าจะหาวัตถุดิบที่ดีที่สุดได้จากที่ไหน พอได้วัตถุดิบที่ดีมา เราก็สามารถผลิตที่นอนออกมาได้ดี ซึ่งเรื่องละเอียดอ่อนแบบนี้โรงงานอื่นอาจจะไม่ทราบ ตอนนี้ในประเทศไทยมีแบรนด์ที่นอนสัก 100 แบรนด์ได้ แต่จะมีประมาณ 50 แบรนด์ที่ผลิตในโรงงานเล็กๆ ที่สินค้าไม่ได้มีคุณภาพมาก ส่วนใหญ่ขายในตลาดล่าง ตอนนี้บริษัทของดิฉัน (สมพลเบดดิ้ง แอนด์ แมทเทรส อินดัสตรี) ก็มีอายุมากกว่า 20 ปีแล้ว ถ้านับมาถึงตอนนี้ก็เท่ากับดิฉันมีประสบการณ์ในการผลิตที่นอนมานานกว่า 40 ปี เลยทีเดียว และถ้านับประสบการณ์ของครอบครัวคุณพ่อด้วย ก็นับว่าเราทำงานทางด้านนี้มากว่า 70 ปีแล้ว

 


เราเคยไปประมูลการผลิตที่นอนให้กับงานมหกรรมกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ที่จัดที่กรุงเทพฯ ในปี พ.ศ. 2541 ซึ่งถือว่าเป็นโครงการใหญ่ระดับภูมิภาคในขณะนั้น ตอนนั้นเราเพิ่งตั้งโรงงานได้ไม่นาน ทางคณะผู้คัดเลือกได้เรียกผู้จัดจำหน่ายที่นอนมาประมูลโครงการนี้กว่า 50 ราย จนกระทั่งเหลืออยู่ 4 ราย ซึ่งสปริงเมทเป็นหนึ่งในนั้น ความจริง ณ ตอนนั้นโรงงานของเรานับว่าเล็กที่สุดเมื่อเทียบกับอีก 3 โรงงาน ที่ถูกคัดเลือก แต่สุดท้ายทางคณะผู้คัดเลือกก็เลือกเรา โดยทางคณะผู้คัดเลือกได้ให้เหตุผลว่า ไม่ได้เลือกผู้ผลิตที่ขนาดของโรงงานหรือราคา แต่เลือกจากคุณภาพ ความสามารถในการผลิต และ ความสามารถในการส่งมอบ เพราะโครงการนี้ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของประเทศชาติ จะพลาดไม่ได้ อย่างไรก็ดี โจทย์สุดท้ายที่ทางคณะผู้คัดเลือกให้เรา คือ ต้องหาจดหมายรับรองคุณภาพจากลูกค้าเรามาให้ได้ โดยให้เวลาเพียง 1 คืน แต่ด้วยความที่คุณสมชายสนิทสนมกับลูกค้าต่างๆ เป็นการส่วนตัวมาก เราเลยหาได้ 6 ฉบับ เช่น โรงแรมใบหยก โรงแรมเซ็นทรัล (เครือโรงแรมและรีสอร์ทเซ็นทาราในปัจจุบัน) และ โรงแรมรีเจนท์ กรุงเทพ (ปัจจุบันคือ โรงแรม Four Seasons Bangkok) ส่วนผู้ผลิตอีกสามรายนั้นหาจดหมายดังกล่าวมาไม่ได้เลย ด้วยเหตุผลที่ว่ามีเวลาน้อยเกินไป เพราะโดยปกติจดหมายดังกล่าวกว่าจะได้มาก็ต้องมีขั้นตอนในการขอ ใช้เวลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ แต่เรากลับหามาได้เลย

 


ตอนนี้วันครอบครัวของดิฉัน คือ วันอาทิตย์ ดิฉันมองว่าการอยู่ด้วยกันไม่จำเป็นต้องนาน แม้จะมีเวลาไม่มาก เพียงสองสามชั่วโมงที่ทานข้าวพร้อมกัน แต่ถ้าเราอยู่ด้วยกันอย่างมีคุณภาพ มันก็จะเป็นเวลาที่มีคุณค่ามากๆ ได้หยอกล้อและ update ความเป็นไปในชีวิตของแต่ละคน แต่ความจริงทุกวันนี้เราก็ update กันอยู่ตลอดอยู่แล้ว เพราะลูกทั้งสามคน สามี และตัวดิฉัน ต่างล้วนทำงานในองค์กรเดียวกัน ทุกอย่างคุยกันทางอีเมล์ และ Line ก็เลยไม่ได้มีปัญหาเรื่องการสื่อสาร เวลาเจอกันก็มักจะคุยเรื่องสนุกๆ มากกว่า แต่ทุกวันนี้ยิ่งลูกๆ โตขึ้นก็ยิ่งห่างออกไปทุกที โอกาสจะเจอกันน้อยมากๆ เพราะธุรกิจของเราตอนนี้ไม่ได้มีแค่เรื่องที่นอนและเครื่องนอน ส่วนตัวธุรกิจที่นอนเองก็เริ่มขยายไปยังหลายๆ ประเทศ ทั้งในและนอก ASEAN ลูกๆ แต่ละคนก็มีกิจกรรมของตัวเองและเดินทางบ่อย เช่น ตอนนี้ลูกชายคนโตไปร่วมสัมมนาที่นิวยอร์ค ลูกสาวไปเสนองานที่จาการ์ตา ลูกชายคนเล็กก็ไปออกรายการโทรทัศน์ ส่วนคุณสมชายก็ไปดูแลกิจการอื่นของเราที่ประเทศลาว

 

 

 


การหาความรู้ในประเทศคงเริ่มจากการที่ได้เรียนหลักสูตรเกี่ยวกับจิตวิทยาของ MPI ที่รู้สึกว่าตอนนี้ไม่มีจัดแล้ว พอได้ไปก็รู้สึกว่าได้ความรู้เยอะมาก ต่อมาก็ได้เรียนหลักสูตร Finance for the Boss ก็ประทับใจในตัว อ. พรสรัญ รุ่งเจริญกิจกุล มาก นับว่าท่านเป็นปรมาจารย์ทางด้านบัญชีและการเงินจริงๆ เรียกว่าได้เปิดโลกทัศน์ พอเรียนมาก็เล็งเห็นความสำคัญในการทำงบการเงินและการมีระบบบัญชีที่แข็งแรง ทำให้ทราบว่าเรามีจุดอ่อนตรงไหนบ้าง พอจะหาผู้บริหารหรือพนักงานมาช่วยงาน ก็สามารถระบุลักษณะคนที่ต้องการได้ ทำให้เราควบคุมต้นทุนสินค้าได้ดีขึ้น พอต้นทุนนิ่ง กำไรก็เริ่มนิ่งด้วย ธุรกิจของเราก็เติบโต

อีกหลายๆ ปีต่อมา ดิฉันก็ได้มีโอกาสไปเรียนหลักสูตร The Boss ก่อนหน้านั้นอยากเรียนแต่ว่างานยุ่งมาก เพราะเหมือนทุกอย่างอยู่ในมือดิฉันหมด แม้จะมีคณะผู้บริหาร แต่ทุกอย่างต้องรอการอนุมัติจากดิฉัน จนกระทั่งลูกชายคนโต (คุณนพพล เตชะพันธ์งาม) เรียนจบจากเคมบริดจ์ ก็มาแบ่งงานบางส่วนไป ตอนนั้นดิฉันบอกลูกชายว่าดิฉันอยากไปเรียนหลักสูตรนี้ เพราะได้ยินมาว่าอาจารย์ที่สอนถือว่าเป็นมือหนึ่งในด้านต่างๆ ของประเทศเลย ถ้าดิฉันได้ไปเรียนคงจะได้แนวคิดและแนวทางการวิเคราะห์เชิงลึกจากอาจารย์เหล่านี้ แล้วก็คงจะได้เพื่อนที่ทำธุรกิจเหมือนกันด้วย จะได้มีคนไว้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น พอลูกชายทราบก็อยากเรียนเหมือนกัน เพราะลูกชายเรียนจบปริญญาตรีด้านฟิสิกส์ และอนุปริญญาโทด้านเศรษศาสตร์ แต่ไม่เคยเรียนด้านบริหารธุรกิจมาเลย สุดท้ายดิฉันเลยให้ลูกไปเรียนก่อน ลูกชายคนโตเลยได้ไปเรียนรุ่น 68 ส่วนดิฉันได้ไปเรียนรุ่น 70

ระหว่างที่เรียน The Boss ดิฉันก็ไปสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เพราะอยากได้วุฒิปริญญาตรี เนื่องจากตอนจบหลักสูตรเลขานุการ ดิฉันไม่ได้รับการรับรองวิทยฐานะใดๆ ตอนนั้นน้องสาวดิฉันชวนให้ไปเรียนด้วยกัน เพราะเห็นว่าทางรามคำแหงเปิดหลักสูตรภาคพิเศษ สาขาบริหารธุรกิจ ให้ผู้ใหญ่ไปเรียนได้ แล้วก็เรียนเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ ใช้วุฒิ มศ. 5 ไปสมัครได้ ดิฉันเลยมีโอกาสเรียนจนกระทั่งจบมาในเดือนมีนาคมปีนี้ ได้เกียรตินิยมด้วย เพราะดิฉันเต็มที่กับการเรียนมาก ตอนนี้ดิฉันก็ไปสมัครเรียนต่อปริญญาโทที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผ่านการสอบสัมภาษณ์แล้ว คาดว่าจะเริ่มเรียนในเดือนกันยายนนี้

ช่วงที่เรียนปริญญาตรี ดิฉันสนุกมาก เพราะมีเพื่อนรุ่นน้อง อายุ 30 กว่า 40 กว่า รุ่นน้องเหล่านี้ได้ให้มุมมองดิฉันหลายๆ อย่าง ทำให้ดิฉันเข้าใจลูกๆ และพนักงานของตัวเองมากขึ้น เข้าใจแนวคิดของคนสมัยใหม่ ส่วนเพื่อนๆ เหล่านี้ก็ชื่นชมตัวดิฉัน เพราะดิฉันทำให้พวกเขาเข้าใจว่าผู้ใหญ่มองเด็กอย่างไร ทำให้เรานับถือซึ่งกันและกัน ดิฉันนับถือในความกล้าหาญของเด็กๆ ที่มีแนวคิดอะไรใหม่ๆ ที่ดิฉันเองยังคิดไม่ถึงเลย ส่วนเด็กๆ ก็นับถือในประสบการณ์อันมากมายของดิฉัน

 

 


ดิฉันคิดที่จะวางมือในที่สุด แต่ตอนนี้ลูกๆ ยังไม่พร้อม ลูกชายคนโตตอนนี้ดูแลเรื่องการพัฒนาต่างๆ ของบริษัทฯ แล้วก็เป็น Brand Ambassador ด้วย ออกสื่อต่างๆ เยอะมาก ลูกสาวรับผิดชอบเรื่องการขายทั้งหมด ส่วนลูกชายคนเล็กดูแลด้านการผลิตกับทีมบริหารที่โรงงาน เรียกว่าตอนนี้ลูกๆ ต้องฝึกที่จะเป็นนายคน แล้วก็ต้องได้ทักษะอะไรอีกหลายๆ อย่างจากทั้งดิฉัน คุณสมชาย และพนักงาน ต้องให้เวลาลูกๆ ในการเก็บเกี่ยวสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง ดิฉันให้ได้แค่พื้นฐาน ให้ทีละนิด เพราะกลัวว่าลูกๆ จะสับสน ดิฉันมองว่าดีที่มีโอกาสทยอยส่งมอบธุรกิจให้คนรุ่นต่อไป ลูกๆ จะทำผิดทำถูกบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะเรายังอยู่แนะนำและดูแล ดีกว่ามามอบธุรกิจให้ตอนที่เราไม่อยู่แล้ว หรือตอนที่เราหมดสมรรถภาพ ถึงแม้ว่าเราจะมีการขัดแย้งกันบ้างในเรื่องงาน แต่ทุกเรื่องก็จบได้ในที่ประชุมคณะกรรมการบริษัททุกครั้ง ความจริงการประชุมคณะกรรมการบริษัทก็เหมือนเป็นการประชุมในครอบครัว ถึงแม้ว่าจะมีคนนอก เช่น อาจารย์ที่ปรึกษาและผู้บริหารระดับสูงอยู่ด้วย ก็ตาม บางอย่างที่เป็นความคิดของลูกที่ดิฉันเห็นว่าเสี่ยงและเร็วเกินไปที่จะทำ แต่ถ้าที่ประชุมฯ เห็นควรว่าต้องลงมือ ดิฉันก็จะคล้อยตาม เพราะดิฉันเชื่อว่าเราต้องเคารพการตัดสินใจของกันและกัน และต้องเคารพมติของที่ประชุมเสมอ