ไทย Eng
 
   


พูดคุยกับคุณพูลศรี  จงแสงทอง

รองประธานกรรมการ บริษัท บอนนี่ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด


        บริษัท บอนนี่อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ก่อตั้งขึ้นมา 47 ปีแล้ว โดยคุณสุรชัย นิลเจียรสกุล เริ่มธุรกิจด้วยการผลิตเสื้อหนาว จากนั้นก็ทำกระเป๋ายีนส์ ห้างแรกที่นำสินค้าเข้าจำหน่ายคือ ห้างไดมารู ทางบริษัทฯ ได้ออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มาอย่างต่อเนื่องและเป็นที่ถูกใจของลูกค้าเป็นอย่างมาก และเมื่อบริษัทฯ ได้ปรับระบบการขายทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว เมื่อก่อนกระเป๋าเดินทางทั่วไปจะใช้เป็นโครงไม้และโครงกระดาษ แต่บอนนี่ฯ เป็นรายแรกที่คิดทำกระเป๋าเป็นโครงเหล็กและพัฒนามาจนถึงปัจจุบันที่ใช้วัสดุไฟเบอร์แทน บอนนี่ฯ เป็นบริษัทแรกๆ ที่นำเทคโนโลยีการผลิตใหม่ๆ เข้ามาเปิดตลาด สิ่งหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับการทำธุรกิจคือ บริษัทฯ จะต้องมีความซื่อสัตย์กับลูกค้า สินค้าที่จำหน่ายออกไปจะต้องมุ่งเน้นเรื่องคุณภาพและบริการ ถ้าลูกค้ามีปัญหาสามารถนำมาซ่อมที่บริษัทฯ ได้ตลอดอายุการใช้งาน จึงทำให้ บอนนี่ฯ ได้ขึ้นมาครองตลาดกระเป๋าเดินทางเกือบ 80% กลายเป็นแบรนด์กระเป๋าเดินทางอันดับต้นๆ ที่ลูกค้าจะนึกถึง และบริษัทฯ ได้แบ่งประเภทสินค้าออกมาอย่างหลากหลาย เพื่อรองรับลูกค้าที่มีความต้องการแตกต่างกันไป ตั้งแต่กระเป๋าระดับ ไฮแบรนด์, ระดับเอ, ระดับบี และ ระดับซี

        ณ ปัจจุบัน เทคโนโลยีการผลิตได้เปลี่ยนแปลงไปมาก จากเดิมที่เคยใช้คนทำก็เปลี่ยนมาเป็นใช้เครื่องผลิต โรงงานของบอนนี่ฯ ที่อยู่ในประเทศไทยจะรับผลิตกระเป๋าเดินทางทั่วไป ในเรื่องการจำหน่าย ทางบริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์การขายโดยใช้การเปิด Shop ที่มีการนำแบรนด์อื่นๆ นอกเหนือจากแบรนด์บอนนี่ มาขายด้วย Shop ที่เปิดแล้วมีด้วยกัน 4 แบรนด์ ได้แก่

  • The Travel Store ภายในร้านจะจำหน่ายสินค้าระดับไฮแบรนด์, ระดับเอ และ ระดับบี
  • The Travel Station ภายในร้านจะจำหน่ายสินค้าระดับบี และ ระดับซี
  • FLIGHT 001 Concept Store (ไฟล์ทวัน คอนเซ็ปสโตร์) เป็นร้านที่จำหน่าย Accessories สำหรับการเดินทางรูปแบบต่างๆ
  • Saveway เป็นร้านค้าในรูปแบบของ Outlet ที่จำหน่ายสินค้าเกรดเอในราคาประหยัดและมีคุณภาพ เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการเพื่อฐานลูกค้าที่ชื่นชอบสินค้าในกลุ่ม Outlet นี้

        ปัจจุบันนี้ บอนนี่ นอกจากจะจำหน่ายเครื่องหนัง กระเป๋าเดินทางแล้ว บริษัทฯ ยังเพิ่มช่องทางในการขายมากขึ้น โดยเลือกนำเข้าและจำหน่ายรองเท้า เป้ สินค้าแนวสตรีทแฟชั่นที่เกี่ยวเนื่องกับการเดินทาง เพื่อขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมทุกความต้องการ จึงทำให้มีบอนนี่ในวันนี้ บอนนี่มีแบรนด์สินค้าในเครือมากกว่า 28 แบรนด์ เรียกได้ว่าเป็น Local Brand ที่ได้การตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีมาตลอด 47 ปี




        ธุรกิจตอนนี้ส่งต่อให้ลูกชายคนโต คือ คุณบัณฑิต นิลเจียรสกุล ดูแลแทน เค้าเป็นคนมองการณ์ไกล ติดต่อธุรกิจกับเพื่อนชาวต่างชาติบ่อยมาก แต่ก่อนสินค้าบอนนี่จะเน้นไปขายทางยุโรป ตอนนี้มาปรับวิธีการใหม่มุ่งเน้นไปทางเอเชีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน มากขึ้น




        บอนนี่มีพนักงานรุ่นเก่าอยู่เยอะ ทุกคนจะเก่งประสบการณ์ จะสามารถสอนพนักงานน้องใหม่ได้จึงทำให้พนักงานทุกคนสามารถทำงานร่วมกันได้ดี หากมีปัญหาในการทำงานพนักงานคนที่อายุงานเยอะกว่าจะคอยดูแลและช่วยแก้ปัญหา ในขณะเดียวกันก็จะสอนให้พนักงานรุ่นใหม่รู้จักที่จะแก้ปัญหานั้นๆ ได้ด้วยตัวเอง ทำให้บอนนี่แข็งแกร่งและพนักงานทุกคนรักและร่วมใจกันทำงานกันเสมือนอย่างญาติพี่น้อง


        ตอนนี้ส่งต่อให้ลูกๆ แล้ว แต่เรายังคงคอยมองและดูแลอยู่ห่างๆ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการทำงาน ให้คำปรึกษา ชี้แนะ ให้รู้จักการวิเคราะห์ ทำงานกับคนรุ่นใหม่เราต้องเป็นคนใจกว้าง แนวหลักในความคิดของเราจะมุ่งเน้นใช้วิธีการสอน ในคำสอนนั้นๆ จะมีคำถามและคำตอบในตัวเอง ถ้าลูกผิดพลาดเราจะชี้ให้เห็นข้อที่ผิดซึ่งเค้าจะจำและครั้งต่อไปเค้าจะได้ไม่พลาดตรงจุดนั้นอีก




        พี่ได้เข้าเรียนในหลักสูตร The Boss ที่สถาบันการบริหารและจิตวิทยา (MPI) เป็นหลักสูตรที่สำคัญอันดับต้นๆ ทำให้ได้รู้จักคนมากขึ้น ได้เพื่อนที่ดี ได้สังคม ได้รู้จักอาจารย์มากมาย เราได้ใช้ความรู้จากการเรียนนี้มาใช้พัฒนาศักยภาพกับพนักงานในบริษัทฯ หรือแม้กระทั่งพนักงานขายของบอนนี่ ทำให้พนักงานทุกคนมีความรู้มากขึ้น และในเมื่อการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ทางบอนนี่ได้ช่วยสนับสนุนการศึกษาของลูกๆ พนักงาน เรามีทุนให้ และหากในช่วงที่ปิดเทอมก็ยังสามารถเข้ามาทำงานในบริษัทฯ ได้และเราก็ให้ค่าจ้างเป็นรายวัน พอเรียนจบถ้าอยากทำงานที่บอนนี่เรายินดี โดยจะดูตามความถนัดของแต่ละคน ทำให้ทุกวันนี้พนักงานบางคนทำงานอยู่กับบอนนี่ 20-30 ปีก็มี




        พี่มองว่าภาษาจีนเป็นภาษาที่สำคัญมากรองจากภาษาอังกฤษ ลูกทุกคนจะต้องพูดได้ทั้ง 2 ภาษา ก่อนที่จะส่งลูกไปเรียนที่ต่างประเทศ เราจะให้ครูมาสอนพิเศษทุกวันที่บ้าน ลูกชายคนโตเมื่อตอนเค้าอายุ 16 เค้าเริ่มเปิด LC ได้ เวลาพี่ติดต่อธุรกิจกับเพื่อนชาวสิงคโปร์พี่ก็เริ่มฝึกเค้า ทำให้เค้าได้รู้จักแบรนด์ดังๆ ของต่างประเทศเยอะมาก แต่พี่ให้ลูกชายทั้ง 2 คน เรียนที่สิงค์โปรแค่ชั้นไฮสคูล พอเข้าปริญญาตรีจะให้กลับมาเรียนที่เมืองไทยที่ธรรมศาสตร์อินเตอร์ เพื่อเค้าจะได้มีเพื่อนที่เป็นคนไทยด้วย ส่วนลูกสาวจบจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ในระหว่างที่เรียนปริญญาตรีก็จะให้มาช่วยทำงานที่บ้านทุกวันเสาร์เพื่อให้เค้ามาซึมซับลักษณะการทำงานของบริษัทฯ




        พี่จะสานสัมพันธ์กับเพื่อนในรุ่นด้วยการช่วยอุดหนุนสินค้าของธุรกิจเค้า เช่น พี่สร้างบ้านหลังนี้ขึ้นมา เป้าหมายของพี่คือ การสานสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ในเดอะบอสส์ 90% ของการตกแต่งบ้านหลายๆ อย่างจะมาจากเพื่อนๆ เดอะบอสส์ เช่น กระจกหน้าต่างทั้งบ้านก็ใช้ของคุณวิทูรทั้งหมด สุขภัณฑ์ในห้องน้ำก็ใช้ของคุณเยาวนุช ถ้าใครมาถามถึงของแต่งบ้านพี่จะแนะนำเค้าว่าของชิ้นนี้ต้องติดต่อกับใคร แล้วเราก็จะให้เค้าคุยกันเอง




        สมัยก่อนบอสส์ดังมากในเรื่องมองเศรษฐกิจ ทุกปีต้องมีจัดมองเศรษฐกิจ จัดแรลลี่ โบว์ลิ่งเป็นจุดหารายได้ ชีวิตเรากับธุรกิจเป็นสิ่งคู่กัน พี่ว่าเดอะบอสส์น่าจะมีการจัดมีทติ้งรุ่นเก่าพบรุ่นใหม่ เพื่อให้ทั้ง 2 ฝ่ายได้รู้จักกัน ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน วิธีนี้จะช่วยให้เดอะบอสส์กลับมาแข็งแกร่งได้เหมือนกับเมื่อก่อนที่เคยเป็นมา